ข่าวสาร Tree (TREE)

รักษาความปลอดภัยในสินทรัพย์: Bitget เป็นป้อมปราการในการรักษาความปลอดภัยในคริปโต

สวัสดี ผู้ที่ชื่นชอบคริปโตทั้งหลาย เคยสงสัยไหมว่า Bitget สามารถรักษาแพลตฟอร์มของตนให้ปลอดภัยได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเราได้ยินเรื่องการละเมิดความปลอดภัยในโลกคริปโตหลายครั้ง เป็นเพราะการใช้ Hot Wallet และ Cold Wallet อย่างชาญฉลาดของเราไงล่ะ มาเจาะลึกกันดีกว่าว่าอะไรที่ทำให้ Bitget เป็นที่ปลอดภัยสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณ เรียนรู้เพิ่มเติม! Hot Wallet กับ Cold Wallet: เคล็ดลับของ Bitget สำหรับความปลอดภัย Hot Wallet: ทางเลือกของคุณสำหรับการทำธุรกรรมอย่างรวดเร็ว ลองคิดว่า Hot Wallet เป็นเหมือน Wallet ดิจิทัลในชีวิตประจำวันของคุณที่เชื่อมต่อได้ตลอดเวลา และพร้อมใช้งานได้เสมอ โดยเหมาะสำหรับการเข้าถึงคริปโตของคุณได้อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความที่ Wallet เชื่อมต่อกับออนไลน์ ผู้ใช้จึงต้องเฝ้าระวังภัยคุกคามทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง Cold Wallet: ตู้นิรภัยดิจิทัลที่ไม่สามารถเจาะได้ Wallet อีกประเภทคือ Cold Wallet ออฟไลน์ ปลอดภัย มักเป็นวัตถุอุปกรณ์ที่เหมือนกับตู้นิรภัยสำหรับคริปโตส่วนตัวของคุณ โดยเป็นเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ด้านการรักษาความปลอดภัยของ Wallet ที่คอยรักษาสินทรัพย์ของคุณให้ปลอดภัยจากผู้ร้ายทางออนไลน์ เหตุใดการรักษาความปลอดภัยของคริปโตของคุณบน Bitget จึงไม่ใช่เรื่องยาก 1. ข้อได้เปรียบจากการออฟไลน์: สินทรัพย์ของ Bitget ส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ใน Cold Wallet ซึ่งแฮกเกอร์ออนไลน์ไม่สามารถเข้าถึงได้ 2. การใช้ Wallet แบบ Multi-Sig: เทคโนโลยี Multi-Signature ของเรารับประกันว่าธุรกรรมต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติร่วมกัน ซึ่งป้องกันการควบคุมเหนือสินทรัพย์ฝ่ายเดียว 3. การสำรองข้อมูลอย่างมืออาชีพ: ด้วยโปรโตคอลการสำรองข้อมูลนอกสถานที่ Bitget รับรองได้ว่าจะสามารถกู้คืนข้อมูลของคุณได้อย่างรวดเร็วหลังจากเกิดข้อผิดพลาดที่ไม่คาดคิด 4. ความปลอดภัยระดับธนาคาร: สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดบางส่วนของ Bitget ถูกเก็บไว้ในตู้เซฟธนาคารจริง ทำให้มีความปลอดภัยสูงสุด ข้อมูลรับรองความปลอดภัยของ Bitget ความมุ่งมั่นของเราต่อการรักษาความปลอดภัยไม่ใช่แค่คำสัญญาเท่านั้น แต่ยังได้รับยืนยันจากข้อมูลรับรองที่มั่นคงอีกด้วย Bitget ได้รับการตรวจสอบจากบริษัทชั้นนำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และมีใบรับรอง SSL ระดับ A+ จึงติดอันดับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน 10 อันดับแรกในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้ Protection Fund มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ ของเรายังทำหน้าที่เป็นตาข่ายนิรภัยที่แข็งแกร่ง ช่วยปกป้องคุณจากการสูญเสียที่ไม่คาดคิดอีกด้วย Proof of Reserves (PoR) ที่แข็งแกร่ง : เรารักษาทุนสำรองทั้งหมดไว้เกิน 200% อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเกินมาตรฐานของอุตสาหกรรมถึง 2 เท่า ทำให้มั่นใจว่าเราสามารถครอบคลุมการถอนของผู้ใช้ได้ทั้งหมด ● การตรวจสอบความโปร่งใสรายเดือน: ยอดถือครองของเราได้รับการตรวจยืนยันผ่านการตรวจสอบรายเดือน เราใช้ระบบ Merkle Tree ในการจัดเก็บ Hash ของสินทรัพย์บัญชีผู้ใช้แต่ละบัญชี ซึ่งเพิ่มระดับความโปร่งใสและการยืนยันของผู้ใช้เพิ่มเติม สรุปปิดท้าย รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นที่จะเก็บสินทรัพย์ของคุณไว้บน Bitget แล้วใช่ไหม ด้วยการผสมผสาน Hot Wallet และ Cold Wallet อีกทั้งการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด สินทรัพย์ดิจิทัลของคุณจึงถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย Bitget ไม่ใช่แค่ส่งเสริมการเทรดอย่างชาญฉลาดเท่านั้น แต่ยังทำให้การเทรดเต็มไปด้วยความมั่นใจและความปลอดภัยอีกด้วย ข้อสงวนสิทธิ์: บทความนี้จัดทำโดยพาร์ทเนอร์และ Elite Trader ของ Bitget ซึ่งได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ Bitget เมื่อไม่นานนี้เพื่อช่วยมอบข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีและการพัฒนาทางเทคนิคต่างๆ ข้อมูล มุมมอง และความคิดเห็นในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลและความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเสนอให้ใช้เป็นคำแนะนำทางด้านกฎหมาย ภาษี การลงทุน การเงินหรืออื่นๆ ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม Bitget รวมถึงพนักงาน ตัวแทน พาร์ทเนอร์ของเรา และ/หรือการดำเนินงานร่วมกันอื่นๆ จะไม่รับผิดชอบต่อการตัดสินใจ การกระทำ หรือผลลัพธ์ที่เกิดจากหรืออ้างอิงจากการใช้ข้อมูลในที่นี้ คุณไม่ควรใช้แนวคิด กลยุทธ์ หรือการดำเนินการลงทุนหรือการเทรดใดๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคล และ/หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน

การแฮ็ก Poloniex, การโจมตี Create2 และการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัล

สรุปใจความสำคัญ - เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน Poloniex ตกเป็นเหยื่อของการแฮ็กมูลค่า 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Justin Sun ขอให้ผู้ใช้มั่นใจในความสามารถทางการเงินของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนในการชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยการฝากและถอนกลับมาใช้งานได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน - Create2 ซึ่งเป็น Ethereum Code ที่ถูกต้อง ถูกแฮ็กเกอร์ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการขโมยสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านเหรียญสหรัฐจากผู้ใช้ - เนื่องจากมีภัยคุกคามที่คล้ายกันนี้เพิ่มขึ้นในโลกคริปโต ผู้ใช้จึงต้องนำมาตรการเชิงปฏิบัติมาใช้เพื่อปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลของตน Poloniex ตกเป็นเหยื่อของการแฮ็กมูลค่า 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน โลกคริปโทเคอร์เรนซีต้องสั่นคลอนจากการเจาะระบบครั้งสำคัญบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Poloniex ของ Justin Sun ซึ่งนำไปสู่การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและดูดสินทรัพย์มูลค่า 126 ล้านดอลลาร์สหรัฐออกจาก Hot Wallet อุบัติการณ์นี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยโดยรวมของสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดอะไรขึ้นในช่วงการแฮ็ก Poloniex การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 17:30 น. (เวลาไทย) และเกิดขึ้นบนบล็อกเชนหลายแห่ง รวมถึง Ethereum, TRON และ BTC การดำเนินการที่เป็นระบบของผู้โจมตีแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบนิเวศบล็อกเชน ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในแต่ละแพลตฟอร์มได้ ผู้ให้บริการด้านการตรวจสอบความปลอดภัยของบล็อกเชนที่มีชื่อเสียง Cyvers และ PeckShield ได้ออกมาแจ้งเตือน บน X (ชื่อเดิมคือ Twitter) เกี่ยวกับการเจาะระบบเป็นครั้งแรก เมื่อเวลาประมาณ 17:55 น. (เวลาไทย) ของวันที่ 10 พฤศจิกายน และประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากที่เริ่มมีการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต Poloniex ได้แจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่า Wallet ถูก "ปิดใช้งานเพื่อการบำรุงรักษา" เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น การดำเนินการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมและช่วยให้มีเวลาในการสอบสวนการเจาะระบบอย่างละเอียด Justin Sun ผู้ที่ลงทุนใน Poloniex ยอมรับผ่านทวีตว่ามีการเจาะระบบเกิดขึ้น ซึ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับความรุนแรงของสถานการณ์ ผลกระทบที่ตามมาของการแฮ็ก Poloniex หลังจากการโจมตี Poloniex ยังคงยึดมั่นในคำมั่นสัญญาที่มีต่อผู้ใช้ โดยทางแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนได้ดำเนินการอย่างแน่วแน่โดยการเริ่มตั้งเงินรางวัลสำหรับ Whitehat, มีส่วนร่วมกับชุมชนคริปโต และร่วมมือกับบริษัทตรวจสอบความปลอดภัยเพื่อประเมินและเสริมความแข็งแกร่งของมาตรการรักษาความปลอดภัย และเพื่อเป็นการเผชิญกับปัญหาโดยตรง Poloniex ได้ดำเนินการในเชิงรุกด้วยการเสนอเงินรางวัล 5% สำหรับ Whitehat เพื่อกระตุ้นให้ผู้กระทำผิดนำสินทรัพย์มาคืน นอกจากนี้ ตลาดข่าวกรองแบบ On-Chain ของ Arkham ยังเสนอเงินรางวัล US$4000 สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การระบุตัวตนของแฮ็กเกอร์อีกด้วย ความพยายามร่วมกันเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวและความมุ่งมั่นของชุมชนในการบรรเทาผลกระทบของการเจาะระบบ Justin Sun ยังให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้ผ่าน X โดยเน้นย้ำว่าสถานะทางการเงินของ Poloniex สามารถชดเชยความสูญเสียนี้ได้ ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงท่ามกลางวิกฤตินี้ ผลที่ตามมาของการแฮ็กได้ขยายออกไปเกินกว่าความสูญเสียทางการเงินที่เกิดขึ้นโดยตรง และส่งผลกระทบต่อราคาโทเค็นในตลาดด้วย ที่น่าสังเกตคือ แฮ็กเกอร์ที่โจมตี Poloniex ได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์มูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐในโทเค็น TRON (TRX) ซึ่งส่งผลให้ราคาโทเค็นพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก กลยุทธ์ทางการเงินที่ซับซ้อนเหล่านี้เน้นย้ำให้เห็นถึงลักษณะที่เชื่อมโยงกันของภูมิทัศน์คริปโต Poloniex กลับมาให้ดำเนินการฝากและถอนเงินต่อได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน Poloniex ประกาศว่าบริการฝากและถอนกลับมาเป็นปกติ ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2023 แพลตฟอร์มดังกล่าวรายงานว่าความพยายามในการกู้คืนส่วนใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว และแพลตฟอร์มก็ดำเนินการได้อย่างราบรื่น และเพื่อเป็นการเพิ่มความปลอดภัยของสินทรัพย์ Poloniex ได้ว่าจ้างบริษัทตรวจสอบความปลอดภัยชั้นนำ (โดยไม่เปิดเผยว่าเป็นบริษัทใด) และกระบวนการประเมินที่กำลังดำเนินอยู่คาดว่าจะใช้เวลาอีกหลายวัน การโจมตี Create2 บน Ethereum: Code เบื้องหลังการโจรกรรมคริปโต นอกเหนือจากการแฮ็กที่มักจะเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแล้ว ไม่นานนี้ผู้ที่ชื่นชอบคริปโตยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามใหม่อีกด้วย Code ท่อนหนึ่งที่เรียกว่า Create2 ซึ่งเดิมออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องภายในเครือข่าย Ethereum ได้ถูกแฮ็กเกอร์นำไปใช้เพื่อดำเนินการโจมตีที่ซับซ้อนติดต่อกันเป็นชุด ซึ่งเผยให้เห็นช่องโหว่ที่ขยายออกไปเกินแพลตฟอร์มแต่ละแห่ง ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ Create2 และวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องในเครือข่าย Ethereum เดิมที Create2 ได้รับการออกแบบโดยมีวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องคือ สำหรับใช้คาดการณ์ Address ของสัญญาก่อนที่การ Deploy บนเครือข่าย Ethereum โดยฟีเจอร์นี้รองรับฟังก์ชันเชิงสร้างสรรค์ที่หลากหลาย และช่วยเหลือแพลตฟอร์มอย่าง Uniswap ในการจัดการและ Deploy สัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม Code ที่ดูไม่มีพิษภัยนี้ เมื่ออยู่ในมือของคนผิด ก็กลายเป็นอาวุธอันร้ายกาจสำหรับผู้ไม่ประสงค์ดี การใช้ Create2 ในทางที่ผิดของแฮ็กเกอร์เพื่อหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนความปลอดภัย แฮ็กเกอร์ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในระบบนิเวศ Ethereum ได้ใช้ประโยชน์จาก Create2 เพื่อเลี่ยงการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแฮ็กเกอร์ได้สร้าง Wallet Address ชั่วคราวเพื่อรับสินทรัพย์หลังจากที่ผู้ใช้คลิกที่ลายเซ็นที่ดูเหมือนจะปลอดภัยแต่แท้จริงแล้วเป็นอันตราย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใช้มักจะได้รับแจ้งให้ "อนุมัติ" ลายเซ็นในระหว่างการโต้ตอบกับ Smart Contract หรือการโอนสินทรัพย์ ซึ่งเป็นการให้การเข้าถึง Wallet ของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างไม่รู้ตัว และการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของ Create2 ช่วยให้แฮ็กเกอร์สามารถรันลายเซ็นที่เป็นอันตรายโดยไม่ทำให้เกิดการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยที่โดยทั่วไปจะเตือนผู้ใช้ หลังจากเข้าถึง Wallet Private Key ของผู้ใช้ได้แล้ว คนร้ายก็สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่โดนตรวจพบ วิธีการที่เป็นระบบนี้ทำให้คนร้ายสามารถดูดคริปโทเคอร์เรนซีจำนวนมากได้อย่างยาวนาน ScamSniffer และ SlowMist ได้ทำการวิจัยอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับขอบเขตของการโจรกรรมที่มีการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของ Create2 ช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งการค้นพบของพวกเขาได้เผยให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ โดยแค่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการโจรกรรมสินทรัพย์ไปแล้วมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผู้ใช้มากกว่า 99,000 รายตกเป็นเหยื่อของการใช้ Create2 อย่างชาญฉลาดนี้ของแฮ็กเกอร์ ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงขอบเขตและความรุนแรงของปัญหา ผลกระทบต่อชุมชนคริปโต และผลกระทบในวงกว้างของการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของ Code ผลกระทบจากการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของ Create2 ได้ขยายไปไกลเกินกว่าเหยื่อและแพลตฟอร์มแต่ละราย ชุมชนคริปโตในวงกว้างได้ตระหนักว่าแม้แต่ Code ถูกคิดค้นและพัฒนามาเป็นอย่างดีภายในเครือข่ายบล็อกเชนก็สามารถนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ที่เป็นอันตรายได้ อุบัติการณ์นี้เป็นดั่งสัญญาณเตือนให้ทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ต้องประเมินและเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัยในภูมิทัศน์ดิจิทัลที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา การเปิดเผยการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของ Create2 นี้ ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและมาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงรุกภายในแวดวงคริปโทเคอร์เรนซี ในขณะที่ชุมชนร่วมกันต่อสู้กับผลที่ตามมาของการโจมตีที่ใช้ Code เหล่านี้ ผลกระทบก็ขยายไปไกลกว่าการสูญเสียทางการเงินที่เกิดขึ้นโดยตรง กระตุ้นให้มีการประเมินโครงสร้างพื้นฐานความปลอดภัยระดับรากฐานที่รองรับเครือข่ายบล็อกเชนอยู่อีกครั้ง มาตรการเชิงปฏิบัติเพื่อปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณเมื่อต้องเผชิญกับภัยคุกคามคริปโต เนื่องจากภูมิทัศน์คริปโทเคอร์เรนซีมีความซับซ้อนมากขึ้น อุบัติการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างการแฮ็ก Poloniex และการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของ Create2 Code ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ในการนำมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งมาใช้ การปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณในสภาพแวดล้อมที่มีช่องโหว่นี้จำเป็นต้องใช้แนวทางที่หลากหลายซึ่งผสมผสานความตระหนักรู้ เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมในเชิงรุก 1. การทำความเข้าใจและการเฝ้าติดตามการอนุมัติลายเซ็น ขั้นตอนพื้นฐานประการหนึ่งในการปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณคือการทำความเข้าใจและเฝ้าติดตามการอนุมัติลายเซ็นอย่างใกล้ชิด ใช้ความระมัดระวังในขณะที่โต้ตอบกับ Smart Contract หรือดำเนินธุรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับแจ้งให้ "อนุมัติ" ลายเซ็น ตรวจสอบและยืนยันรายละเอียดธุรกรรมเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับความตั้งใจของคุณ ความตระหนักรู้ที่เพิ่มมากขึ้นนี้สามารถทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันเบื้องต้นจากการเข้าถึงสินทรัพย์ของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต 2. การใช้ Hardware Wallet เพื่อเพิ่มความปลอดภัย พิจารณาอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของคุณโดยเลือกใช้ Hardware Wallet Hardware Wallet นั้นแตกต่างจาก Wallet ออนไลน์หรือโซลูชันซอฟต์แวร์ ตรงที่จะจัดเก็บ Private Key ของคุณแบบออฟไลน์ โดยให้การป้องกันเพิ่มเติมอีกชั้นหนึ่งจากการแฮ็ก อุปกรณ์จับต้องได้เหล่านี้มีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์จากระยะไกลน้อยกว่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับการจัดเก็บคริปโทเคอร์เรนซีจำนวนมาก 3. การให้ความรู้แก่ผู้ใช้เกี่ยวกับความพยายามในการฟิชชิ่งและการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น เสริมความแข็งแกร่งในตัวคุณด้วยความรู้ เพื่อแยกแยะและขัดขวางความพยายามในการฟิชชิ่งและการฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น ระวังอีเมล ข้อความ หรือการสื่อสารทางโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้ต้องการซึ่งขอข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือกระตุ้นให้ดำเนินการบางอย่างทันที นิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมายจะไม่ขอ Private Key หรือข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ด้วยการรับทราบข่าวสารอยู่เสมอ คุณจะสามารถสำรวจโลกคริปโตได้อย่างมั่นใจและป้องกันตัวเองจากการฉ้อโกงได้ ต่อให้คุณยังเป็นมือใหม่ในตลาด ก็ไม่ต้องกังวล เพราะ Bitget มีบทความที่เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายเพื่อให้คุณทราบข้อมูลสำคัญต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และคอยระวังสแกมที่อาจเกิดขึ้น คู่มือความปลอดภัยขั้นสูงในการใช้งาน Bitget สแกมและการฉ้อโกงคริปโทเคอร์เรนซีที่พบบ่อย สุดยอดโล่ป้องกันของ Bitget: คู่มือในการกำจัดการสแกมแบบฟิชชิ่งของคุณ 4. การอัปเดตและแก้ไขช่องโหว่ของซอฟต์แวร์เป็นประจำ การรักษาความปลอดภัยให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณเกี่ยวข้องกับการจัดการซอฟต์แวร์ที่คุณใช้อย่างจริงจัง โดยคุณควรอัปเดต Wallet, แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับคริปโตอื่นๆ ของคุณเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับประโยชน์จากแพตช์ความปลอดภัยล่าสุด ซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยอาจมีช่องโหว่ที่แฮ็กเกอร์สามารถใช้ประโยชน์ได้ ทำให้การอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเป็นส่วนสำคัญของหลักการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง 5. ทำธุรกรรมกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่เชื่อถือได้เท่านั้น ใช้ความระมัดระวังเมื่อเลือกใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีสำหรับธุรกรรมของคุณ โดยให้เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้และความโปร่งใส ตัวอย่างเช่น Bitget ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมโดยมี Proof of Reserves ที่แข็งแกร่งถึง 199% และสามารถตรวจสอบได้ผ่าน Merkle Tree Proof นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม Bitget ยังมีProtection Fund มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งต่อการสูญเสียสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้ คุณจึงควรเลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่มีประวัติการดำเนินงานซึ่งผ่านการพิสูจน์มาแล้ว มาตรการรักษาความปลอดภัยที่โปร่งใส และโครงการริเริ่มเชิงรุกเพื่อปกป้องสินทรัพย์ของคุณ 6. แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทั่วไปสำหรับผู้ใช้ในตลาดคริปโต ในขณะที่ระบบนิเวศคริปโทเคอร์เรนซีเติบโตขึ้น ผู้ใช้จะต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทั่วไป โดยสร้างรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยากและไม่ซ้ำกันสำหรับบัญชีต่างๆ ของคุณ เปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ปัจจัยทุกครั้งที่เป็นไปได้ และพิจารณาใช้อุปกรณ์เฉพาะสำหรับกิจกรรมด้านคริปโตของคุณ นอกจากนี้ ยังควรตรวจสอบงบการเงินและกิจกรรมบัญชีของคุณเป็นประจำเพื่อให้สามารถระบุและจัดการธุรกรรมที่น่าสงสัยได้โดยทันที ติดตามเว็บไซต์และช่องทางทางการของโปรเจกต์และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่คุณใช้เพื่อรับทราบข่าวสารและการอัปเดตล่าสุด ด้วยการนำแนวทางปฏิบัติเหล่านี้มารวมเข้ากับกิจวัตรของคุณ คุณก็มีส่วนช่วยในด้านความสามารถในการฟื้นตัวโดยรวมของชุมชนคริปโตต่อภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้น ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

ความปลอดภัยในวงการคริปโต: นิยามแนวคิดหลัก

ความปลอดภัยเป็นรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมคริปโต โดยสำหรับนักลงทุนแล้ว ความปลอดภัยในสินทรัพย์นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้น เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านความปลอดภัย และประสิทธิภาพด้านการจัดการความเสี่ยงและความตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยของสินทรัพย์สำหรับนักลงทุน เราจึงได้รวบรวมรายการคำศัพท์ที่พบได้บ่อยพร้อมคำอธิบายมาเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจแง่มุมของการลงทุนนี้ได้ดียิ่งขึ้น การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA) การตรวจสอบสิทธิ์แบบหลายปัจจัย (MFA) เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่กำหนดให้ผู้ใช้ให้ข้อมูล หรือ “ปัจจัย” สำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ที่ต่างกันถึง 2 ปัจจัยขึ้นไป เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้รายดังกล่าว โดยปัจจัยเหล่านี้อาจรวมถึงรหัสผ่าน ลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า บัตรสมาร์ทการ์ด และอื่นๆ กล่าวได้ว่า MFA สามารถยกระดับความปลอดภัยของบัญชีได้ เพราะถึงแม้ว่าผู้โจมตีจะรู้รหัสผ่านของผู้ใช้ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการปัจจัยสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์เพิ่มเติมเพื่อเข้าถึงบัญชีของผู้ใช้เหล่านั้นนั่นเอง การโจมตีแบบฟิชชิ่ง ในการโจมตีแบบฟิชชิ่ง ผู้โจมตีจะแอบอ้างเป็นหน่วยงานหรือองค์กรที่เชื่อถือได้ ทำให้ผู้ใช้สังเกตถึงความแตกต่างได้ยาก โดยในสถานการณ์นี้ผู้ใช้อาจให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไปโดยไม่รู้ตัว เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และ 2FA ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเข้าถึงอุปกรณ์และบัญชีได้ พร้อมทั้งอาจนำไปสู่การโอนสินทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาตได้เลยทีเดียว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของการสแกมเหล่านี้ ช่องทางการยืนยันอย่างเป็นทางการ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนต่างๆ จะให้บริการช่องทางการยืนยันอย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่ประสงค์ดีแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ประจำแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบข้อมูลระบุตัวตนของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ผ่านทางอีเมล, หมายเลขโทรศัพท์มือถือ, WhatsApp และวิธีการอื่นๆ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (AML) การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หมายถึง การดำเนินการโดยใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันการดำเนินการฟอกเงินใดๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในการปกปิดหรือบิดเบือนแหล่งที่มาของสินทรัพย์และลักษณะของความผิดทางอาญาที่เกิดจากอาชญากรรมทุกประเภท กล่าวได้ว่า กระบวนการนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินงานที่มั่นคงของระบบการเงิน ความเป็นธรรมทางสังคม การแข่งขันในตลาดอย่างเป็นธรรม และการต่อต้านการทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบอื่นๆ Know Your Customer (KYC) KYC เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการปลอมแปลงตัวตน นอกจากนั้น KYC ยังช่วยยกระดับความปลอดภัยในสินทรัพย์ของผู้ใช้ได้อย่างมาก และป้องกันการฉ้อโกง การฟอกเงิน การสแกม และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายได้อีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อปกป้องบัญชีของผู้ใช้และข้อมูลสินทรัพย์ หากบัญชีหรือสินทรัพย์ของผู้ใช้ตกอยู่ในความเสี่ยง การตรวจสอบและยืนยันข้อมูล KYC ของผู้ใช้จะช่วยให้พวกเขาสามารถกลับมาควบคุมบัญชีของตนได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ใบอนุญาตทางการเงิน ใบอนุญาตทางการเงินเป็นหนังสือรับรองที่หน่วยงานทางการเงินออกให้กับบริษัทหรือบุคคล เพื่ออนุญาตให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถให้บริการทางการเงินหรือการเทรดได้ ประเภทของใบอนุญาตทางการเงินอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค และรวมถึงใบอนุญาตการธนาคาร ใบอนุญาตหลักทรัพย์ และใบอนุญาตประกันภัย นอกจากนี้ ข้อกำหนดในการได้รับใบอนุญาตดังกล่าวก็อาจแตกต่างกันได้เช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การจะได้รับใบอนุญาตทางการเงินจะต้องเกิดจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่ระบุไว้ ตลอดจนการปฏิบัติตามข้อบังคับและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ในอุตสาหกรรมคริปโตที่ค่อนข้างใหม่ พบว่ายังไม่มีการกำหนดกรอบและมาตรฐานด้านการกำกับดูแลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมา โดยแต่ละประเทศและภูมิภาคก็จะมีมุมมองด้านการกำกับดูแลที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม สำหรับในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น “ฮ่องกง” ได้ออกเกณฑ์การออกใบอนุญาตสำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์เสมือนของตนเองขึ้นมาแล้วในวันที่ 1 มิถุนายน 2023 Merkle Tree Merkle Tree เป็นโครงสร้างข้อมูลที่คล้ายกับต้นไม้ซึ่งใช้ในการยืนยันความสมบูรณ์และความปลอดภัยของข้อมูล โดยที่ข้อมูลด้านล่างของแต่ละบัญชีจะมี Node ของบัญชีที่มียอดคงเหลือในบัญชีและชื่อบัญชีที่เข้ารหัสด้วย SHA256 อยู่ ส่วน Hash Value ที่ได้รับน้ันสามารถนำมาคำนวณได้อีกครั้งกับ Hash Value ที่อยู่ติดกัน จากนั้นจึงค่อยๆ ไล่ไปทีละ Layer จนกว่าการคำนวณ Hash จะไปถึง Root ของโครงสร้าง Merkle Tree หากต้องการยืนยันว่า Ledger มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ผู้ใช้เพียงต้องทำตามขั้นตอนในการคำนวณ Hash ในบัญชีของตน, ค้นหา Position ใน Tree นั้นๆ พร้อมกับ Node ที่อยู่ติดกัน จากนั้นจึงคำนวณ Hash Value ไปทีละ Layer จนกระทั่งถึง Root ของ Tree ที่ผู้ใช้ทำการคำนวณ อย่างไรก็ดี โครงสร้างข้อมูลนี้ถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในหลายวงการ เช่น บล็อกเชน ฐานข้อมูล ระบบไฟล์ และอื่นๆ อีกมากมาย Proof of Reserves (PoR) Proof of Reserves (PoR) หมายถึงขั้นตอนการตรวจสอบที่ยืนยันยอดถือครองของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนผ่าน Cryptographic Proof, ความเป็นเจ้าของ Wallet สาธารณะ และการตรวจสอบซ้ำ โดยผู้ให้บริการดูแลรักษาสินทรัพย์จะรับประกันความโปร่งใสและให้หลักฐานว่าทุนสำรองแบบ On-Chain นั้นเท่ากับหรือมากกว่ายอดรวมของยอดถือครองของผู้ใช้ทั้งหมด หากยอดรวมที่ได้รับการยืนยันมากกว่าหรือเท่ากับ 100% หมายความว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถให้การปกป้องสินทรัพย์ของผู้ใช้ทุกคนได้อย่างเต็มที่ การตรวจสอบ Smart Contract การตรวจสอบ Smart Contract เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบโดยละเอียดและการวิเคราะห์ Code ของ Smart Contract บนบล็อกเชน เพื่อค้นหาช่องโหว่ ข้อบกพร่อง หรือปัญหาด้านความปลอดภัยอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ การตรวจสอบ Code ของ Smart Contract จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องความปลอดภัย ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการขยายการรองรับของ Smart Contract เพื่อทำให้แน่ใจว่าฟังก์ชันการทำงานและตรรกะทางธุรกิจของ Smart Contract ดังกล่าวนั้นเป็นไปตามมาตรฐานที่คาดหวัง และจะไม่ถูกแฮ็กเกอร์หรือภัยคุกคามด้านความปลอดภัยอื่นๆ โจมตีได้ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วการตรวจสอบ Code ของ Smart Contract จะดำเนินการโดยผู้ตรวจสอบมืออาชีพหรือบริษัทรักษาความปลอดภัย เพื่อการันตีความปลอดภัยและความเสถียรของ Smart Contract Nansen Nansen เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงใน On-Chain Address และ Smart Contract เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลความเคลื่อนไหวและเทรนด์ล่าสุดของตลาดได้ในทันที ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดพร้อมข้อมูลครบถ้วน ISO/IEC 22301:2019 ISO/IEC 22301:2019 เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM) ที่เผยแพร่โดยองค์การมาตรฐานสากล (ISO) มาตรฐานนี้จะให้แนวทางหรือกรอบการทำงานเพื่อช่วยให้องค์กรรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจเอาไว้ได้เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในรูปแบบต่างๆ โดยมาตรฐาน ISO/IEC 22301:2019 จะประกอบไปด้วยชุดข้อกำหนดและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อช่วยองค์กรในด้านการตอบโต้ ฟื้นฟู และปกป้องระบบการทำงานที่สำคัญของธุรกิจได้อย่างฉับไวเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรฐานดังกล่าวจะถูกนำไปใช้กับองค์กรทุกประเภทและขนาด โดยไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรมหรือสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ISO/IEC 27701:2019 ISO/IEC 27701:2019 เป็นมาตรฐานระบบการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (PIMS) ที่พัฒนาขึ้นจากกรอบการทำงานของระบบบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISMS) ในมาตรฐาน ISO/IEC 27001 มาตรฐาน ISO/IEC 27701:2019 นี้จะให้แนวทางหรือกรอบการทำงานเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับข้อมูลส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรับประกันการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังให้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับองค์กรต่างๆ เพื่อรักษาประสิทธิภาพและความยั่งยืนของระบบการจัดการข้อมูลส่วนตัวประจำองค์กรอีกด้วย ISO/IEC 27001:2013 ISO/IEC 27001:2013 เป็นมาตรฐานสำหรับระบบบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISMS) ที่แนะนำกรอบการทำงานเพื่อช่วยเหลือองค์กรในด้านการปกป้องการรักษาความลับ ความสมบูรณ์ และความพร้อมใช้งานของข้อมูล นอกจากนี้ยังช่วยรับประกันประสิทธิภาพและความยั่งยืนของระบบบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศขององค์กรอีกด้วย มาตรฐาน ISO/IEC 27001:2013 ประกอบด้วยชุดแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เช่น การประเมินความเสี่ยง การควบคุมความปลอดภัย และการตรวจสอบภายในองค์กร เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าองค์กรจะสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลได้ ยิ่งไปกว่านั้น มาตรฐานดังกล่าวยังให้คำแนะนำสำหรับองค์กรเพื่อทำให้แน่ใจว่าระบบบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศขององค์กรนั้นๆ จะสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ PCI DSS v3.2.1 PCI DSS v3.2.1 คือ มาตรฐานรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS) ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกองค์กรที่บริหารจัดการข้อมูลบัตรชำระเงินจะปฏิบัติตามชุดมาตรฐานความปลอดภัยและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยเป้าหมายหลักของมาตรฐานดังกล่าว คือ เพื่อปกป้องข้อมูลบัตรชำระเงินของลูกค้าจากการโจรกรรมหรือการใช้ในทางที่ผิด มาตรฐานนี้ประกอบไปด้วยชุดข้อกำหนด เช่น การกำหนดค่าเครือข่ายที่มีความปลอดภัย, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่ได้รับการเข้ารหัส, การควบคุมการเข้าถึง และการติดตามรวมถึงทดสอบเป็นประจำเพื่อทำให้แน่ใจว่าองค์กรเหล่านั้นจะสามารถรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบัตรชำระเงินที่อยู่ภายใต้การดำเนินการขององค์กรได้ นอกจากนี้ มาตรฐาน PCI DSS v3.2.1 ยังกำหนดให้องค์กรต่างๆ ดำเนินการประเมินด้วยตนเองและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานผ่านการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระบุคคลที่สามด้วยเช่นกัน กรอบการทำงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของ NIST กรอบการทำงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของ NIST (NIST Cybersecurity Framework) เป็นกรอบการทำงานด้านการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างและรักษาระบบจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศที่มีประสิทธิผลเอาไว้ได้ สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐ (NIST) ได้จัดเตรียมกรอบการทำงาน, ระเบียบวิธี และแนวปฏิบัติทางเทคนิคมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ดำเนินการประเมินความเสี่ยง, ควบคุมความปลอดภัย และจัดการความปลอดภัยได้อย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งไปกว่านั้น กรอบการทำงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของ NIST ยังครอบคลุมถึงการดำเนินการที่สำคัญต่างๆ เช่น การตรวจสอบสิทธิ์, การควบคุมการเข้าถึง, การเข้ารหัส, การจัดการช่องโหว่, การโต้ตอบต่ออุบัติการณ์ และการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน กล่าวโดยสรุปได้ว่า เรื่องของความปลอดภัยถือเป็นแนวคิดที่กว้างขวางครอบคลุมไปถึงแง่มุมต่างๆ มากมายเกินกว่าจะกล่าวถึงได้ทั้งหมดในบทความเดียว แต่เราก็ยังหวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณได้ความรู้พื้นฐานด้านความปลอดภัยของสินทรัพย์ในโลกคริปโต และช่วยให้คุณเข้าไปมีส่วนร่วมในวงการคริปโตอย่างปลอดภัยมากขึ้นได้ ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรดแต่อย่างใด ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนทำการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

CZ ลาออกจากตำแหน่ง CEO แล้ว Binance ถูกปรับ 4.3 พันล้านดอลลาร์

ทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงด้วยโพสต์ขนาดยาวบนแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิมคือ Twitter) โดยโพสต์นั้นมีเนื้อหาว่า “Changpeng Zhao” หรือ CZ ผู้เป็นตัวแทนและหน้าตาของ Binance ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง CEO แล้ว การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นหลังจากการแถลงข่าวของ DOJ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ซึ่งชี้แจงว่า Binance และ CEO ของบริษัทรับสารภาพในข้อกล่าวหาของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยอมความคดีมูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากความขัดแย้งอันยาวนานที่เกี่ยวข้องกับ Binance, SEC และ DOJ การลาออกของ CZ ได้สร้างกระแสฮือฮาในวงการคริปโทเคอร์เรนซีและตลาดคริปโตอย่างชัดเจน ในบทความนี้เราจะพาไปดูช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ในอุบัติการณ์ครั้งนี้กัน สรุปสั้นๆ มิถุนายน 2023: SEC ฟ้อง Binance สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (Securities and Exchange Commission: SEC) ยื่นฟ้อง Binance และ CEO ของบริษัทที่ชื่อ Changpeng “CZ” Zhao ในข้อหาละเมิดกฎการเทรดหลักทรัพย์ของสหรัฐ โดยได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 13 ข้อหา ซึ่งรวมถึง: พยายามชักจูงลูกค้าจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาสู่แพลตฟอร์มการเทรดระดับโลกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ยักยอกเงินของผู้ใช้ ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือเกินจริงแก่หน่วยงานด้านการกำกับดูแลและนักลงทุน กรกฎาคม 2023: Binance เลิกจ้างพนักงาน ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการสอบสวนด้านกฎระเบียบในสหรัฐอเมริกา Binance ได้ลดขนาดทีมงานลงหลังจากประสบปัญหาการลาออกของผู้บริหารไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามีพนักงานถูกปลดออกจากบริษัทไปแล้วมากกว่า 1,000 คน กันยายน 2023: “Brian Shroder” CEO ของ Binance.US ลาออกจากตำแหน่ง ในขณะที่การต่อสู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ SEC, Binance และ CZ ได้ทวีความรุนแรงขึ้น “Brian Shroder” CEO ของ Binance.US ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหลังจากผ่านไป 2 ปี และ Binance.US ก็ได้ปลดพนักงานออกมากถึง 1 ใน 3 ของพนักงานทั้งหมดเลยทีเดียว 21 พฤศจิกายน 2023: Binance และ CZ ยอมรับความผิดต่อข้อกล่าวหาของรัฐบาลกลาง จากการแถลงข่าวของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ระบุว่า Binance ยอมรับสารภาพถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องในการละเมิดที่เกี่ยวเนื่องกับกฎต่อต้านการฟอกเงิน เช่น การรักษาโปรแกรม AML ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการส่งเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต และการคว่ำบาตร ซึ่งนี่เป็นข้อตกลงของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และแม้แต่ CZ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบริษัทเองก็ต้องเผชิญกับการถูกตั้งข้อกล่าวหาทางอาญาดังกล่าว CZ ได้รับการพิจารณาจำคุกสูงสุด 10 ปีและปรับเงินจำนวนมหาศาลถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าบทลงโทษจริงอาจจบลงที่ความรุนแรงน้อยกว่านั้นก็ตาม 22 พฤศจิกายน 2023: CZ ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Binance ไม่นานหลังจากข่าวยอมรับผิดดังกล่าว CZ ก็ได้โพสต์ข้อความที่ยาวและจริงใจ โดยประกาศว่าเขาได้ตัดสินใจลาออกและวางมือจากการทำงาน ก่อนที่จะไปเริ่มต้นกับความสนใจในด้าน DeFi และอื่นๆ ต่อไป 22 พฤศจิกายน เวลา 04:36 น. CZ ประกาศอำลาบทบาท CEO ในขณะที่แฟนๆ ของเขากว่า 8.7 ล้านคนบน X อาจรู้สึกเสียใจและผิดหวัง CZ ได้กล่าวในโพสต์ของเขาไว้ว่า “ในฐานะผู้ถือหุ้นและอดีต CEO ที่มีความรู้เกี่ยวกับบริษัทเป็นอย่างดี ผมพร้อมจะให้คำปรึกษาแก่ทีมงานเสมอหากพวกเขาต้องการ” นอกจากนี้ CZ ยังแท็กบุคคลที่จะสานต่อภารกิจของตนลงในโพสต์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ได้แก่ Richard Teng ซึ่ง “เคยเป็น” Global Head of Regional Markets ประจำ Binance “Richard Teng” CEO คนใหม่ของ Binance คือใคร แม้ว่า Richard Teng อาจไม่เป็นที่รู้จักในโซเชียลมีเดียเท่ากับ CZ แต่ประสบการณ์อันช่ำชองของเขาบ่งบอกว่าเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีสำหรับบทบาทดังกล่าว โดยตัวอย่างประวัติอันโดดเด่นของเขามีดังนี้ 6 ปีในตำแหน่ง CEO ของ Abu ​​Dhabi Global Market (ADGM) ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2021 7 ปีในตำแหน่ง CRO ของ Singapore Exchange Limited (SGX) ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2015 ประสบการณ์ของ Richard อาจนำไปสู่การดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างราบรื่นสำหรับอนาคตของบริษัทก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์และสรุปในประเด็นนี้ อีกทั้งผลกระทบที่จะตามมานั้นย่อมยิ่งใหญ่กว่าแค่การเปลี่ยนบทบาทใน Binance อย่างแน่นอน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไร ณ เวลาที่เผยแพร่บทความนี้ ราคาของ Bitcoin (BTC) ลดลง 2.3% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาของ Binance Coin (BNB) ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 8.8% เลยทีเดียว ที่มา: coingecko.com อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อมีข่าวของ Changpeng Zhao (CZ) ที่เกี่ยวข้องกับ SEC ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2023 ราคาของ Bitcoin ก็ปรับตัวลดลงอย่างมากถึง 6% โดยลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ US$26,000 ขณะนี้ ตลาดยังคงประมวลเรื่องราวทั้งผลลัพธ์จากข้อกล่าวหาของรัฐบาลกลางที่มีต่อ Binance และข่าวการลาออกของ CZ ดังนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความสั่นคลอนที่อาจเกิดขึ้นในหมู่ผู้เล่นรายใหญ่ประจำแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตในช่วงไม่กี่วันนี้และอีกหลายเดือนข้างหน้า บทสรุป ช่วงขาขึ้นและขาลงของผู้เล่นรายใหญ่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความโปร่งใสนั้นมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นต่อผู้ใช้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมจากรัฐบาล ทั้งนี้ การตรวจสอบ “Proof of Reserves” ว่าสามารถตรวจสอบยืนยันได้ผ่านทาง Merkle Tree ก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้ทราบได้ว่าแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตมีความปลอดภัยและโปร่งใสอย่างแท้จริง โดย Merkle Tree นี้เองจะถูกนำมาใช้เพื่อพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีมีทุนสำรองตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่นั่นเอง กล่าวได้ว่า ไม่ว่าโลกคริปโตหรือตลาดจะผันผวนไปอย่างไร การตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้ฝากสินทรัพย์ไว้ในพื้นท่ีที่ปลอดภัยก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเราที่ควรตระหนักถึงอยู่เสมอ ข้อสงวนสิทธิ์: ข้อมูล มุมมอง และความคิดเห็นในรายงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลและความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเสนอให้ใช้เป็นคำแนะนำทางด้านกฎหมาย ภาษี การลงทุน การเงินหรืออื่นๆ ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม Bitget รวมถึงพนักงาน ตัวแทน พาร์ทเนอร์ของเรา และ/หรือการดำเนินงานร่วมกันอื่นๆ จะไม่รับผิดชอบต่อการตัดสินใจ การกระทำ หรือผลลัพธ์ที่เกิดจากหรืออ้างอิงจากการใช้ข้อมูลในที่นี้ คุณไม่ควรใช้แนวคิด กลยุทธ์ หรือการดำเนินการลงทุนหรือการเทรดใดๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคล และ/หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน

เรื่องของข้อมูล: Merkle Tree และ Proof-Of-Reserves (PoR)

คุณอาจเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับการล่มสลายของ FTX เมื่อไม่นานมานี้ หรืออาจจะได้ยินมามากเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการปรับโครงสร้างใหม่ในวงการคริปโทเคอร์เรนซีทั้งหมด ทำให้ความโปร่งใสที่แท้จริงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของนักลงทุน ถึงเวลาแล้วที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี บล็อกเชน ทั้งความโปร่งใสในตัวและการที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Immutability) แต่เราจำเป็นต้องเข้าใจแนวคิดของ Merkle Tree และ Proof-of-Reserve ก่อน หลักพื้นฐานของ Merkle Tree ถ้าให้อธิบายสั้นๆ Merkle Tree ก็คือโครงสร้างข้อมูลที่ทำหน้าที่เป็นตัวสรุปธุรกรรมทั้งหมดในบล็อกหนึ่ง ส่วนถ้าอธิบายโดยละเอียด Merkle Tree หรือที่เรียกว่า Binary Hash Tree ถูกสร้างขึ้นโดยการ Hash คู่ธุรกรรมเข้าด้วยกันเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือ Hash เดียวสำหรับทั้งบล็อก ในตัวอย่างด้านล่าง เราจะใช้ N0, N1, N2 และ N3 เพื่อแทนธุรกรรมหมายเลข 0, ธุรกรรมหมายเลข 1, ธุรกรรมหมายเลข 2 และธุรกรรมหมายเลข 3 ตามลำดับ เมื่อดำเนินการแต่ละธุรกรรม เราจะได้แฮชที่ไม่ซ้ำกันออกมา (Hash N0, Hash N1, Hash N2, Hash N3) การรวม Hash N0 และ N1 เข้าด้วยกัน เราจะได้เป็น Hash ใหม่ที่เรียกว่า Hash(N0+N1) และ Hash(N2+N3) ก็เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการเดียวกันนี้ ทำซ้ำขั้นตอนนี้จนกว่าจะถึง Hash(N4+N5) ซึ่งถือได้ว่าเป็น Merkle Root / Root Hash ของชุดข้อมูลนี้ กลับมาพูดถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบล็อกเชนกัน ก่อนอื่น ข้อมูลที่จัดเก็บในบล็อกเชนจะเชื่อมต่อถึงกันและกัน เนื่องจากแต่ละบล็อกมี Hash ของบล็อกก่อนหน้า หากธุรกรรมหนึ่งของบล็อกที่มีอยู่ถูกเปลี่ยนแปลง/แก้ไข ระบบจะสร้าง Hash ใหม่สำหรับธุรกรรมนี้ ซึ่งจะเปลี่ยน Layer ของ Hash ปัจจุบันจนถึง Root ทำให้ทั้งบล็อกนั้นและบล็อกทั้งหมดที่สร้างขึ้นหลังจากนั้นใช้ไม่ได้ แล้วมีความหมายอย่างไรสำหรับพวกเรา (ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี) Merkle Tree ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่สอดคล้องกัน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่สามารถลบได้ ซึ่งเราสามารถใช้ในการติดตามประวัติการทำธุรกรรมของ Wallet ใดก็ได้ อาจใช้เวลาสักพักในการตรวจสอบแต่ละ Hash ที่เกี่ยวข้อง แต่เราจะรู้เสมอหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เนื่องจาก Hash นั้นไม่ถูกต้อง ทำไมเราจึงต้องมี Proof-of-Reserve Proof-of-Reserve เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางหนึ่งมีทุนสำรองต่อสินทรัพย์ของผู้ใช้ในอัตราส่วน 1:1 กล่าวคือ เป็นการรับประกันว่าผู้ใช้จะสามารถถอนสินทรัพย์ของตนได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตแบบรวมศูนย์ (CEX) และผู้ให้บริการเก็บรักษาสินทรัพย์อื่นๆ (บริษัทที่ถือครอง Private Key ของ Wallet ของผู้ใช้ ซึ่งก็เป็นการครอบครองสินทรัพย์ของผู้ใช้) ที่จะเปิดเผยการตรวจสอบที่สามารถยืนยันได้เพื่อพิสูจน์ความสามารถในการชำระหนี้และการไม่ใช้งานสินทรัพย์ของผู้ใช้ในทางที่ผิด ไม่ว่าด้วยการเป็นเจ้าของ Wallet สาธารณะ, ผ่าน Cryptographic Proof หรือผ่านบริการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม ตัวชี้วัดความถูกต้องทางการเงินอย่างเป็นทางการคืออัตราส่วนของทุนสำรอง (อัตราส่วนระหว่างสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัทและสินทรัพย์ของผู้ใช้) ซึ่งต้องมีอย่างน้อย 100% เพื่อให้มั่นใจว่าสินทรัพย์มีความปลอดภัย #FundsAreSAFU Bitget ยึดมั่นในความโปร่งใสของระบบอย่างสูงสุด ในฐานะที่เราเป็นผู้สร้างแนวหน้าในพื้นที่ดิจิทัลและในวงการ CEX สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของ Bitget คือการสร้างความโปร่งใสให้กับทุกคนตลอดเวลา อัตราส่วนของทุนสำรองปัจจุบันอยู่ที่ 259,887% (สแนปช็อตเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2022 เวลา 16:00 น. UTC+7) Bitget ถือ BTC, ETH และ USDT ใน Wallet ของเรามากกว่าสินทรัพย์ของผู้ใช้ทั้งหมดเกือบ 2,600 เท่า ตัวเลขนี้จะได้รับการอัปเดตรายเดือนเพื่อให้ผู้ใช้ของเราสามารถติดตามสถานการณ์การชำระหนี้ของแพลตฟอร์มและระดับ สภาพคล่องของเราได้อยู่เสมอ เราจะเผยแพร่ BTC, ETH, USDT ของเราและ Address ที่เกี่ยวข้องไว้ที่นี่และโค้ด Open-Source ของโปรแกรมการชำระหนี้ของ Bitget ก็ได้รับการอัปเดตขึ้น Github แล้ว ซึ่งหมายความว่าทุกคนจริงๆ ไม่ว่าจะมีความรู้ทางด้านเทคนิคหรือไม่ ก็สามารถเข้าถึง Proof-of-Reserve ของ Bitget ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง อย่าลืมไปดู Bitget Protection Fund US$300 ล้าน และ Bitget Builders Fund US$5 ล้าน ของเรา เราไม่เพียงแต่ครอบคลุมการสูญเสียสินทรัพย์ของผู้ใช้ที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น แต่เรายังให้การสนับสนุนที่เตรียมการมาอย่างดีและทันท่วงทีแก่ผู้ใช้ FTX ที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย สุดท้ายนี้ เราได้เผยแพร่คู่มือโดยละเอียดเกี่ยวกับการตรวจสอบสินทรัพย์ไว้ที่นี่แล้ว เพื่อให้ผู้ใช้ Bitget สามารถตรวจสอบบัญชีของตนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ สแนปช็อตรายเดือนของสินทรัพย์ของผู้ใช้แต่ละคนจะเปิดเผยต่อสาธารณะอีกด้วย และแน่นอนว่าเราจะเซ็นเซอร์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนก่อน ด้วยวิธีนี้และ Statement คริปโต 30 วันของเรา ผู้ใช้ของเราสามารถมั่นใจได้ 100% ว่า Bitget มีความสามารถที่จะดำเนินการคำขอการถอนของผู้ใช้ ดูใบรับรองทุนสำรองของ Bitget ด้วยตนเอง CEX ยังคงเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศคริปโตเพื่อให้บริการการเทรดที่ง่ายและมีสภาพคล่องสูง, การเริ่มใช้งานที่ง่ายสำหรับผู้ใช้ใหม่ และบริการ On-Ramp/Off-Ramp สำหรับนักลงทุนคริปโตทั่วโลก สุดท้ายแล้ว ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของการทำให้คริปโตเป็นที่ยอมรับในสังคมกระแสหลัก และการล่มสลายของ FTX ช่วยให้เรามีโอกาสในการปรับโครงสร้างและสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่อง เพียงสร้างบัญชี ก็เริ่มใช้งาน Bitget ได้แล้ววันนี้!