Bitget App
เทรดอย่างชาญฉลาดกว่าที่เคย
ซื้อคริปโตตลาดเทรดFuturesCopyBotsEarn
อัปเดตตลาดหัวข้อยอดนิยมBitcoin
การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ในไตรมาสที่ 1 ปี 2025: จากสถิติสูงสุดสู่เทรนด์ Bearish และแนวโน้มในอนาคต

การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ในไตรมาสที่ 1 ปี 2025: จากสถิติสูงสุดสู่เทรนด์ Bearish และแนวโน้มในอนาคต

ขั้นกลาง
2025-03-14 | 15m

ในไตรมาสแรกของปี 2025 ราคา Bitcoin ลดลงอย่างรวดเร็วจาก All Time High ที่ $109,225 ในเดือนมกราคม 2025 ลงมาแตะจุดต่ำสุดครั้งล่าสุดที่เกือบ $76,700 ในเดือนมีนาคม 2025 โดยการเคลื่อนไหวของราคานี้ขับเคลื่อนโดยปัจจัยหลายประการ รวมทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค กิจกรรมของสถาบัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเชื่อมั่นของตลาด

บทความนี้จะวิเคราะห์เทรนด์ราคา Bitcoin ล่าสุด อธิบายสาเหตุของการลดลง และวิเคราะห์ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรโดยอิงจากรูปแบบในอดีตและข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ

ไทม์ไลน์การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ในไตรมาสที่ 1 ปี 2025

Bitcoin เริ่มต้นปี 2025 อย่างสวยงาม ด้วยการทำ All Time High ที่ $109,225 ในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งการพุ่งขึ้นนี้ได้รับแรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกที่มีต่อการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดี Donald Trump ที่ถูกมองว่าเป็นมิตรกับคริปโต อย่างไรก็ตาม ภายในไม่กี่สัปดาห์ ราคา Bitcoin ก็เริ่มแสดงอาการอ่อนแรง

มกราคม 2025: Bitcoin พุ่งแตะ All Time High ($109,225) ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกของตลาด

Bitcoin เริ่มต้นปี 2025 อย่าง Bullish สุดขีด ซึ่งขับเคลื่อนโดยความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนสถาบัน ความคาดหวังต่อนโยบายที่สนับสนุนคริปโตจากรัฐบาลของ Trump และการใช้งาน ETF อย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 Bitcoin ได้ทำ All Time High ที่ $109,225 ด้วยแรงหนุนจากความตื่นเต้นกับการเข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 ของ Trump โดยตลาดมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับความชัดเจนด้านการกำกับดูแลของสหรัฐที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจาก Trump ได้กล่าวสนับสนุนคริปโตหลายต่อหลายครั้ง

นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบันอย่าง MicroStrategy, กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ และกองทุนบริหารความเสี่ยงต่างๆ ยังคงสะสม Bitcoin กันอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่า Bitcoin จะเป็นที่เก็บรักษามูลค่าในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การ Rally ของ Bitcoin นี้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากนักเทรดเริ่ม Take Profit และความกังวลด้านเศรษฐกิจมหภาคเริ่มส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2025: สัญญาณแรกของความอ่อนแรง – Bitcoin ลดลงเหลือ $92,500

ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ Bitcoin เผชิญกับ Pullback ครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกเนื่องจากเริ่มมีการขายทำกำไร

ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2025 Bitcoin ร่วงลงมาเหลือ $92,500 เป็นเวลาสั้นๆ ซึ่งคิดเป็นการลดลงถึง 15% จากจุดสูงสุด โดยการลดลงนี้เกิดจากการขายทำกำไรจากนักลงทุนในช่วงแรก และความกลัวต่อนโยบายการค้าของสหรัฐที่ Trump ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราใหม่กับประเทศต่างๆ

แม้ว่าราคา Bitcoin จะร่วงลงไป แต่ก็สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาแตะระดับ $101,000 และสร้างความหวังให้กับเหล่านักลงทุนว่ายังคงเป็นตลาดกระทิงอยู่

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2025: Bitcoin เข้าสู่ตลาดหมีในทางเทคนิค ($86,000)

มุมมองเชิงบวกนั้นอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากเหตุการณ์ในตลาดหลายๆ อย่างได้ผลักดันให้ Bitcoin เข้าสู่โซนตลาดหมี

ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 ราคา Bitcoin ร่วงลงไปอยู่ต่ำกว่า $86,000 ซึ่งถือเป็นการลดลง 20% จากจุดสูงสุด และเข้าสู่ตลาดหมีในทางเทคนิคอย่างเป็นทางการ โดยการลดลงนี้มีสาเหตุหลักมาจาก Liquidation (การบังคับขาย) จำนวนมากในตลาดคริปโต ซึ่งมีมูลค่าทั้งหมด 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในช่วง 24 ชั่วโมง

ความเชื่อมั่นของตลาดกลายเป็น Bearish อย่างมาก โดยนักลงทุนต่างหันเหออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเนื่องจากกลัวว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Cointelegraph และ QCP Capital ตั้งข้อสังเกตว่าความต้องการของสถาบันเริ่มชะลอตัวลง ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับทิศทางในระยะยาวของ Bitcoin

สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2025: การแฮ็ก CEX ทำให้ Bitcoin มีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก ($83,500)

ในขณะที่ดูเหมือนว่าตลาดกำลังจะเสถียรแล้ว จู่ๆ อุตสาหกรรมคริปโตก็เกิดเหตุการณ์น่าตกใจครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

โดยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 แฮ็กเกอร์ได้ขโมยสินทรัพย์มูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก CEX รายใหญ่แห่งหนึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสั่นคลอน และส่งผลให้เกิดกระแสการขายขึ้นอีกครั้ง ราคาของ Bitcoin ลดลงมาเหลือ $83,500 ส่งผลให้เกิดการขายภายใต้ความตระหนก (Panic Sell) ที่แพร่กระจายไปทั่วตลาด นักวิเคราะห์เตือนว่าหากตลาดไม่สามารถดูดซับแรงขายจากกองทุนที่ถูกแฮ็กได้ Bitcoin ก็อาจ Downside ต่อไป

2 มีนาคม 2025: Rally ชั่วคราวจากการที่ Trump ประกาศเกี่ยวกับกองทุนสำรองคริปโตของสหรัฐ ($93,000)

ในวันที่ 2 มีนาคม 2025 Bitcoin พุ่งแตะระดับ $93,000 เป็นช่วงสั้นๆ หลังจากที่ประธานาธิบดี Trump ประกาศเกี่ยวกับกองทุนสำรองคริปโตของสหรัฐที่อาจจะมีขึ้น โดย Trump แย้มว่ารัฐบาลจะจัดตั้งกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์สำหรับ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ทำให้เกิดกระแสการซื้อ โดยนักลงทุนบางส่วนมองว่านี่เป็นตัวเร่ง Bullish ครั้งสำคัญ โดยเชื่อว่าการสะสม Bitcoin ของรัฐบาลจะผลักดันให้ราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ก็รีบเตือนว่า Rally ครั้งนี้อาจเป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากรายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนสำรองนี้ยังไม่ชัดเจน ซึ่งคำเตือนนี้ก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง เนื่องจาก Rally นี้หายไปอย่างรวดเร็ว และ Bitcoin ก็กลับมาอยู่ในทิศทางขาลงอีกครั้ง

3-6 มีนาคม 2025: ตลาดดิ้นรนเพื่อรักษาระดับ $90,000

หลังจากตื่นเต้นได้ไม่นานจากการประกาศของ Trump เรื่องกองทุนสำรองคริปโต Bitcoin ก็ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาโมเมนตัมเอาไว้

ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม Bitcoin เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงประมาณ $88,000-$90,000 แต่ไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญได้ และความไม่แน่นอนของตลาดก็เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับข้อขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐ ภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ นอกจากนี้ กระแสไหลเข้าของ ETF เองก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีกระแสไหลออกจาก Bitcoin Spot ETF เป็นจำนวน 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งสัญญาณให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันกำลังลดการเปิดรับความเสี่ยงของตน

7 มีนาคม 2025: การประกาศเรื่องกองทุนสำรองคริปโตทำให้นักลงทุนผิดหวัง ($84,000)

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2025 Trump ได้ลงนามในคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) อย่างเป็นทางการเพื่อจัดตั้งกองทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Bitcoin Reserve) อย่างไรก็ตาม รายละเอียดดังกล่าวกลับทำให้ตลาดต้องผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องที่ว่ากองทุนสำรองนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อ Bitcoin ของรัฐบาล แต่จะประกอบไปด้วย Bitcoin ที่ยึดมาจากกิจกรรมทางอาชญากรรมแทน ซึ่งถือว่าห่างไกลจากการเป็นปัจจัยกระตุ้น Bullish ที่นักลงทุนคาดหวังไว้มาก ผลก็คือ ราคา Bitcoin ลดลง 6% เหลือ $84,000 เนื่องจากนักเทรดทำการขายเมื่อมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ

10-11 มีนาคม 2025: Bitcoin ร่วงไปอยู่ต่ำกว่า $80,000 ทดสอบที่ $76,700

ภายในวันที่ 10 มีนาคม ราคา Bitcoin ร่วงลงอีกครั้ง จนหลุดลงไปอยู่ต่ำกว่าแนวรับสำคัญ โดย Bitcoin ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนที่ $79,170 จากแรงขายที่เพิ่มมากขึ้น

ภายในวันที่ 11 มีนาคม Bitcoin แตะ $76,700 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Bitcoin อาจกลับมาทดสอบแนวรับอีกครั้งที่ $70,000 โดยขึ้นอยู่กับกิจกรรมของสถาบันและสภาวะเศรษฐกิจมหภาค

12 มีนาคม 2025: ข้อตกลงการยุติความขัดแย้งกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวชั่วคราว ($83,000)

ในวันที่ 12 มีนาคม 2025 ความสำเร็จในข้อตกลงการยุติความขัดแย้งในเขตที่มีความตึงเครียดสูงได้ส่งผลให้ตลาดโลกเข้าสู่โซนบวก ช่วยให้ Bitcoin ฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ $83,000 โดยนักลงทุนกลับมามีมุมมองเชิงบวกในช่วงสั้นๆ หวังว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงจะช่วยให้ตลาดการเงินมีเสถียรภาพ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า นี่ไม่ใช่สัญญาณการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่สำคัญอยู่ ตัวอย่างเช่น การโต้ตอบทางภาษี ความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐ และความกังวลด้านเงินเฟ้อยังคงเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของ Bitcoin อยู่ โดยผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า Bitcoin อาจยังปรับตัวลงไปที่ $75,000 ได้ หากความตึงเครียดด้านการค้าโลกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ในไตรมาสที่ 1 ปี 2025: จากสถิติสูงสุดสู่เทรนด์ Bearish และแนวโน้มในอนาคต image 0

เทรนด์ขาลงนี้ทำให้นักเทรดสงสัยว่า ตลาดกระทิงของ Bitcoin สิ้นสุดลงแล้วหรือยัง หรือว่านี่เป็นเพียงการปรับฐานชั่วคราวเท่านั้น

ปัจจัยที่มีส่วนทำให้ราคา Bitcoin ลดลง

ปัจจัยสำคัญหลายประการที่มีส่วนในการส่งผลให้ราคา Bitcoin ลดลงอย่างรวดเร็วในปี 2025 มีตั้งแต่เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคไปจนถึงแรงกดดันด้านการกำกับดูแลและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่การลดลงบางส่วนเกิดจากเหตุการณ์บางเหตุการณ์โดยเฉพาะ แต่ก็ยังมีการลดลงอื่นๆ ที่เกิดจากเทรนด์การเงินในวงกว้าง

ส่วนนี้จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ราคา Bitcoin ลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

1. นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดประการหนึ่งต่อราคา Bitcoin ในช่วงต้นปี 2025 คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ

โดยการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่าง Bitcoin เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนก็จะมองหาสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูง เช่น หุ้นและคริปโทเคอร์เรนซี อย่างไรก็ตาม เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงหรือคาดว่าจะยังคงสูงอยู่ นักลงทุนจะหันไปหาการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและทองคำ

นักวิเคราะห์และนักเทรดหลายคนคาดหวังว่า FED จะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2025 ซึ่งอาจช่วยผลักดันราคา Bitcoin อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่ ธนาคารกลางสหรัฐจึงประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ว่าจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้

หลังจากการประกาศของ FED ตลาดการเงินแบบดั้งเดิมก็ประสบกับ Pullback โดยทั้ง S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปรับตัวลดลง ผลก็คือ Bitcoin และคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ ก็ปรับตัวลดลงตาม เนื่องจากนักลงทุนย้ายเงินทุนออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง

2. ความตึงเครียดด้านการค้าโลกและภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา

การลดลงของ Bitcoin เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับความตึงเครียดทางการค้าที่เริ่มต้นโดยรัฐบาล Trump

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 สหรัฐได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ ส่งผลให้เกิดความกลัวต่อสงครามการค้าโลก และตลาดก็ตอบสนองในเชิงลบ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกังวลเกี่ยวกับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ

Bitcoin มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ไม่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและพันธมิตรทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนจึงย้ายเงินออกจากสินทรัพย์ที่มีความผันผวนอย่าง Bitcoin ไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า นักลงทุนที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจจึงได้เทขาย Bitcoin ไปพร้อมกับหุ้นต่างๆ ส่งผลให้ราคาลดลง

นอกจากความไม่แน่นอนนี้แล้ว ภายในเดือนมีนาคม 2025 ยังมีการขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีตอบโต้กับสหรัฐ ซึ่งทำให้บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Bitcoin อาจปรับตัวลงไปที่ $75,000 เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าที่ต่อเนื่องอาจทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดอ่อนตัวลง

3. การขายทำกำไรและ Liquidation ของสถาบัน

หลังจากที่ Bitcoin พุ่งทำสถิติสูงสุดที่ $109,225 ในเดือนมกราคม นักลงทุนสถาบันจำนวนมากก็เริ่มล็อกผลกำไร ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงขายเพิ่มขึ้น ทำให้ราคา Bitcoin ลดลง การเริ่มเทขายนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ของ Liquidation (การบังคับขาย) ในตลาดอนุพันธ์

โดยเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 มี Position ที่มีเลเวอเรจมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐถูก Liquidate (บังคับขาย) ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อเกิด Liquidation (การบังคับขาย) จำนวนมาก นักเทรดที่ใช้เลเวอเรจจะถูกบังคับให้ขาย Bitcoin ของตน ซึ่งก็เป็นการยิ่งทำให้ราคาลดลงไปอีก

4. กระแสไหลออกของ ETF และการชะลอตัวในอุปสงค์ของสถาบัน

การอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ในช่วงปลายปี 2024 ถือเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ราคา Bitcoin พุ่งไปถึง $109,000 อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เทรนด์นี้ก็ได้กลับตัว โดยที่นักลงทุนสถาบันได้ถอนสินทรัพย์ของตนออกไป

เพียงวันที่ 24 กุมภาพันธ์เพียงวันเดียว Bitcoin ETF ก็มีกระแสไหลออกสุทธิ 516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนสถาบันเริ่มถอนตัว ในช่วง 6 วันจากนั้น ETF มีสถิติการถอนทั้งหมดเป็นมูลค่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่า Bitcoin จะได้รับประโยชน์จากกระแสไหลเข้าของ ETF ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่การเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นก็ทำให้ราคาลดลงไปอย่างมาก

5. ความไม่แน่นอนด้านการกำกับดูแล

การพัฒนาด้านการกำกับดูแลยังคงส่งผลต่อราคา Bitcoin แม้ว่ารัฐบาล Trump จะมีจุดยืนที่เป็นมิตรกับคริปโตมากขึ้น แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนทางกฎหมายอยู่

ในตอนแรก หลายคนเชื่อว่าจุดยืนของ Trump ที่สนับสนุนคริปโตจะทำให้ราคา Bitcoin สูงขึ้น แต่นโยบายที่แท้จริงของรัฐบาลของเขากลับเป็นแบบผสม

การประกาศของรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับกองทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Bitcoin Reserve) ทำให้เกิดมุมมองเชิงบวกในตอนแรก แต่ต่อมากลับทำให้บรรดานักลงทุนผิดหวังเมื่อรัฐบาลสหรัฐออกมาชี้แจงว่าจะไม่มีการซื้อ Bitcoin ใหม่ แต่กองทุนสำรองนี้จะมีเฉพาะ Bitcoin ที่ยึดมาจากคดีอาญาเท่านั้น ซึ่งการประกาศดังกล่าวได้ส่งผลให้ราคาลดลง 6% ในวันที่ 7 มีนาคม เนื่องจากนักเทรดคาดหวังว่ารัฐบาลจะให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่งกว่านี้

6. ความเชื่อมั่นของตลาดและดัชนีความกลัวและความโลภ

จิตวิทยาของนักลงทุนมีบทบาทอย่างมากต่อความผันผวนของ Bitcoin โดยดัชนีความกลัวและความโลภคริปโตซึ่งเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของตลาดได้ร่วงลงไปอยู่ในโซน “กลัวสุดขีด” (Extreme Fear) หลังจากที่ Bitcoin ร่วงลงไปอยู่ต่ำกว่า $80,000 ในอดีต ความกลัวสุดขีดมักเป็นสัญญาณของโอกาสในการซื้อ แต่ก็ยังบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนและความระมัดระวังในหมู่นักลงทุนอีกด้วย

7. การแฮ็ก CEX และข้อกังวลด้านความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 แฮ็กเกอร์ได้ขโมยสินทรัพย์มูลค่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐจากแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เหตุการณ์นี้ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสั่นคลอน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสินทรัพย์คริปโต และราคา Bitcoin ก็ร่วงลงไปอยู่ต่ำกว่า $80,000 เนื่องจากมีการขายภายใต้ความตระหนก (Panic Sell) เพิ่มมากขึ้น เมื่อแฮ็กเกอร์ทำการ Liquidate (ล้างพอร์ต) Bitcoin ที่ขโมยไป ก็ยิ่งทำให้มีแรงขายเพิ่มมากขึ้นอีก

ความกังวลด้านความปลอดภัยถือเป็นความท้าทายสำหรับ Bitcoin มาโดยตลอด และการแฮ็กแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนรายใหญ่ก็มักจะทำให้ตลาดตกต่ำในระยะสั้น

Bitcoin พร้อมสำหรับการรีบาวด์หรือไม่

แม้ว่าราคา Bitcoin จะมีภาวะขาลงเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในรอบตลาดที่ผ่านๆ มา โดยนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า Bitcoin จะยังคงเป็นตลาดกระทิงในระยะยาว โดยการปรับฐานจะถือเป็น Pullback ที่ดีก่อนที่จะพุ่งสูงยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยบางประการที่สามารถผลักดันการฟื้นตัวของ Bitcoin ได้มีดังนี้

1. รูปแบบการฟื้นตัวในอดีตที่แข็งแกร่งของ Bitcoin

Bitcoin ได้รีบาวด์ 157% ในปี 2023 และ 119% ในปี 2024 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวหลังจากช่วงขาลง โดยรอบก่อนหน้านี้บ่งชี้ว่า Bitcoin ประสบกับ Pullback อย่างรุนแรงก่อนที่จะขึ้นไปทำ All Time High ใหม่ หากช่วง $70,000-$75,000 ยืนหยัดเป็นแนวรับได้ Bitcoin ก็อาจเริ่มไต่กลับขึ้นไปที่ระดับสูงกว่า $100,000 ได้ในช่วงปลายปี 2025

Bitcoin มีประวัติของการมีลักษณะเป็นวัฏจักรรุ่งเรืองและร่วงโรย (Boom and Bust Cycle) และโดยทั่วไปจะมีรูปแบบการปรับฐานอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นในระยะยาว หากเป็นไปตามประวัติศาสตร์ Bitcoin ก็อาจกลับมาม่ีโมเมนตัมอีกครั้งในช่วง 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า

2. การสะสมของสถาบัน

สถาบันต่างๆ หลายแห่ง รวมถึง MicroStrategy และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติยังคงสะสม Bitcoin อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนสถาบันที่กำลังมองหาคุณค่าในระยะยาวอาจมองราคาปัจจุบันของ Bitcoin ว่าเป็นโอกาสในการซื้อ ซึ่งสามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดและผลักดันให้ราคาสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ เปอร์เซ็นต์ของผู้ถือ Bitcoin ในระยะยาวยังคงสูงอยู่ ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อมูลค่าในอนาคต ในอดีต เมื่อผู้ถือระยะยาวหยุดขาย Bitcoin ก็มีแนวโน้มที่จะรีบาวด์ได้ภายในไม่กี่เดือน

3. กองทุนสำรองคริปโตของสหรัฐและการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่อาจเกิดขึ้น

หากรัฐบาลสหรัฐดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อรับรองอย่างเป็นทางการว่า Bitcoin เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงิน ก็อาจผลักดันให้เกิดการใช้งานใหม่ในระดับสถาบันได้ แม้ว่าการประกาศเบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุนสำรองนี้จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็ตาม แต่การพัฒนาในอนาคตก็อาจจุดประกายความหวังให้กับนักลงทุนอีกครั้ง

4. การใช้งานที่เพิ่มขึ้นในกระแสหลักและรัฐบาล

แม้ว่าจะเริ่มต้นได้อย่างน่าผิดหวัง แต่กองทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Bitcoin Reserve) ก็อาจช่วยเปิดทางให้รัฐบาลเข้าซื้อ Bitcoin มากขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจากรัฐต่างๆ ของสหรัฐและสถาบันทั่วโลกกำลังพิจารณาเพิ่ม Bitcoin เข้าในกองทุนสำรองของตน

และหากมีการใช้งานจากรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ก็อาจเพิ่มขึ้นถึง 4.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐได้ตามข้อมูลของ Sygnum Bank

5. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ

แม้ว่า FED จะหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้วในขณะนี้ แต่สัญญาณใดๆ ในอนาคตของการผ่อนปรนนโยบายการเงินก็อาจทำให้ Bitcoin น่าดึงดูดใจมากขึ้นในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมักจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดการเงิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่าง Bitcoin

6. พลวัตของอุปสงค์และอุปทาน

เนื่องจาก Bitcoin มีอุปทานคงที่อยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้คาดกันว่าอุปสงค์ในระยะยาวจะแซงหน้าอุปทาน และเมื่อนักลงทุนและสถาบันต่างๆ สะสม Bitcoin กันมากขึ้น ความขาดแคลน (Scarcity) ก็อาจผลักดันให้ราคาสูงขึ้นได้เช่นกัน

เส้นทางข้างหน้า: คำเตือนและโอกาส

พฤติกรรมตลาดของ Bitcoin ในปัจจุบันชี้ให้เห็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสสำหรับนักลงทุน การลดลงครั้งล่าสุดของ Bitcoin ไม่ใช่เรื่องแปลกและเป็นไปตามวัฏจักรของตลาดในอดีต ถึงแม้ว่ายังคงมีความเสี่ยงในระยะสั้นอยู่ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็เชื่อว่านี่เป็นเพียงการปรับฐานชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุดสำหรับตลาดกระทิงของ Bitcoin ซึ่งปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้งานของสถาบัน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมหภาค และความชัดเจนด้านการกำกับดูแล ต่างก็จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของ Bitcoin

ส่วนในตอนนี้ นักเทรดและนักลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสาร จัดการความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง และเฝ้าดูสัญญาณสำคัญๆ เช่น การสะสมของสถาบัน, กระแส ETF และความคืบหน้าทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ครั้งต่อไปของราคา Bitcoin

Bitcoin จะลดลงไปอีกหรือไม่ หรือว่ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับ Rally อีกครั้ง มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ การเดินทางของ Bitcoin ยังห่างไกลจากคำว่าสิ้นสุด

ข้อสงวนสิทธิ์: ความคิดเห็นที่อยู่ในบทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น บทความนี้ไม่ใช่การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการใดๆ ที่ได้มีการเอ่ยถึง รวมถึงไม่ใช่คำแนะนำด้านการลงทุน การเงิน หรือการเทรด ผู้ใช้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองก่อนตัดสินใจลงทุน

แชร์
link_icon
วิธีขาย PIBitget ลิสต์ PI – ซื้อหรือขาย PI อย่างรวดเร็วที่ Bitget!
เทรดเลย
ทุกเหรียญโปรดของคุณ เรามีให้ครบครัน!
ซื้อ ถือ และขายคริปโทเคอร์เรนซียอดนิยม เช่น BTC, ETH, SOL, DOGE, SHIB, PEPE และอีกเพียบ ลงทะเบียนและเทรดเพื่อรับเซ็ตของขวัญสำหรับผู้ใช้ใหม่มูลค่า 6,200 USDT!
เทรดเลย