บอทเทรด

Bitget ช่วยนักเทรดดัชนีได้อย่างไร กลยุทธ์ CTA อาจเป็นเทรนด์ใหญ่เทรนด์ต่อไป

2023-07-14 10:202330

ที่ Bitget เรายึดมั่นในคำมั่นสัญญาของเราที่ว่า “Trade Smarter” ด้วยการอัปเกรดโมดูลการเทรดด้วยบอท และส่วนหนึ่งของการอัปเกรดนี้คือ Bitget จะนำเสนอกลยุทธ์ Quantitative ใหม่ด้วยกัน 2 กลยุทธ์ คือ Spot CTA และ Futures CTA

1. กลยุทธ์ CTA คืออะไร

CTA ย่อมาจาก Commodity Trading Advisor หมายถึงประเภทของกลยุทธ์ที่ใช้กับการเทรดใน Futures ของสินค้าโภคภัณฑ์และของดัชนีหุ้นโดยเฉพาะ กลยุทธ์ CTA ส่วนใหญ่ใช้เทรนด์ราคา/ปริมาณสำหรับการเทรดระยะสั้น และสร้างระบบการเทรดดัชนีที่สมบูรณ์ โดยกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วไปมีทั้งกลยุทธ์การเทรด Turtle, กลยุทธ์การเทรด MACD และกลยุทธ์การเทรด BOLL Mean Reversion

จากประสบการณ์ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วของผลิตภัณฑ์ CTA ก่อนหน้านี้ เราได้นำเสนอระบบการเทรดดัชนีสำหรับ คริปโทเคอร์เรนซีบนแพลตฟอร์มการเทรดด้วยบอทของเรา เพื่อช่วยให้ผู้ใช้คว้าโอกาสในการเทรดได้ดีขึ้นและหาจุดเข้าที่ดีที่สุดได้ในตลาดที่คาดเดายาก

โดยสรุปคือเป็นการใช้โปรแกรมเพื่อใช้กลยุทธ์การเทรดดัชนีโดยอัตโนมัติในการซื้อ (Go Long) ขาย (Go Short) หรือ Go Long และ Short ในโทเค็นโดยตั้งเป้าทำกำไรสุทธิ การฝึกใช้กลยุทธ์ CTA สามารถตัดปัจจัยด้านอารมณ์มนุษย์และการตัดสินใจที่ไม่ดีออกไปได้ เพราะบอท CTA ออกแบบมาให้ทำตามกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินการสูงขึ้นและมีความแม่นยำในการเทรดมากขึ้น

บอท CTA-AI

เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้งานกลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น บอท CTA-AI ของ Bitget จึงทำ Backtest (ทดสอบย้อนหลัง) ข้อมูลที่ผ่านมาล่าสุดเพื่อค้นหาพารามิเตอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบอทในการปรับให้เข้ากับตลาด วิธีนี้ช่วยลดปัญหาในการตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ที่ดูยุ่งยาก โดยเพียงเลือกบอท AI แล้วเลือก “สร้าง Order / Create an order” เพื่อป้อนจำนวนเงิน เท่านี้ก็เรียบร้อย บอกลาการเขียนโค้ดที่ซับซ้อนและน่าเบื่อไปได้เลย

2. การใช้กลยุทธ์ CTA

กลยุทธ์ CTA ของ Bitget จะหาเทรนด์ราคาโดยติดตาม MACD, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) 2 เส้น, Bollinger Band และสัญญาณอื่นๆ เพื่อดูว่าจะมี Golden Cross (หรือ Death Cross) เกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อให้สามารถจับจังหวะในการเทรดและวาง Order ตามเทรนด์ได้อย่างแม่นยำ

ปัจจุบันกลยุทธ์ CTA ของ Bitget รองรับดัชนีต่อไปนี้:

MACD (ติดตามอินดิเคเตอร์ MACD แบบเรียลไทม์ ทำการซื้อเมื่อเกิด Golden Cross และขายเมื่อเกิด Death Cross ใช้เมื่อตลาดเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า)

Bollinger Band (ใช้ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) จะเปิด Short เมื่อราคาตัดขึ้นเหนือเส้นบนและเปิด Long เมื่อราคาตัดลงใต้เส้นล่าง เหมาะสำหรับตลาดช่วงพักตัวและแกว่งตัวในกรอบ)

Bitget จะรองรับดัชนีเพิ่มขึ้นในอนาคต โปรดติดตามอย่างใกล้ชิด!

3. ลักษณะของกลยุทธ์ CTA

คุณสมบัติที่สำคัญของการลงทุนแบบ CTA Quantitative ได้แก่:

ใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์และอัลกอริทึม: การลงทุนแบบ CTA Quantitative ใช้อัลกอริทึมวิเคราะห์ตลาดและตัดสินใจเทรด ไม่มีปัจจัยจากมนุษย์มายุ่งเกี่ยว

กระจายความเสี่ยง: บอท CTA ของ Bitget พัฒนากลยุทธ์การลงทุนหลายอย่างสำหรับตลาด รอบ และประเภทสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน

ควบคุมความเสี่ยง: การลงทุนแบบ CTA Quantitative นำปัจจัยด้านความเสี่ยงมาพิจารณาในกระบวนการตัดสินใจและลดความเสี่ยงในการเทรดที่อาจเกิดขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การตั้งจุด Stop Loss

ดำเนินการอัตโนมัติ: การลงทุนแบบ CTA Quantitative ใช้อัลกอริทึมในการช่วยให้เทรดได้แบบอัตโนมัติ รวมถึงเพื่อให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำในการเทรดมากขึ้น

มีความโปร่งใส: การลงทุนแบบ CTA Quantitative อาศัยอัลกอริทึมในการเทรด ทำให้ข้อมูลการตัดสินใจเทรดและประวัติการเทรดทั้งหมดมีความโปร่งใส นักลงทุนจึงตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพการลงทุนของตนได้ง่าย

ต้นทุนธุรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์การเทรดเช่นกัน และเนื่องจากกลยุทธ์ CTA มีการเทรดบ่อยครั้ง จึงอาจมีต้นทุนธุรกรรมที่สูง นอกจากนี้ กลยุทธ์ CTA ยังอ่อนไหวต่อความผันผวนและ สภาพคล่องด้วย

ความผันผวน: ความผันผวนมีบทบาทสำคัญต่อผลการดำเนินงานของกลยุทธ์ CTA กลยุทธ์ CTA ส่วนใหญ่ใช้วิธีการไปตามเทรนด์ (Trend-Following) ซึ่งจะลงทุนเมื่อเทรนด์ตลาดดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น ตลาดต้องคงความผันผวนในระดับสูง กลยุทธ์นี้จึงจะประสบความสำเร็จ ตลาดที่มีความผันผวนสูงมักสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ต่อเนื่องและมีการเทรดอย่างคึกคัก ในทางกลับกัน ตลาดที่มีความผันผวนต่ำจะเงียบเหงากว่า โดยมีการทำธุรกรรมกันค่อนข้างน้อย

สภาพคล่อง: กลยุทธ์การเทรดต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับสภาพคล่องในระดับที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป กลยุทธ์ระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องมากที่สุด รองลงมาคือกลยุทธ์ระยะกลาง ในขณะที่กลยุทธ์ระยะยาวมีความต้องการสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีรอบการลงทุนที่ยาวนานกว่า สภาพคล่องส่งผลโดยตรงต่อราคาธุรกรรมและต้นทุนของกลยุทธ์ หากมีสภาพคล่องต่ำในกลยุทธ์ระยะสั้น ก็อาจส่งผลให้ Slippage สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตรากำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ในช่วงเวลาที่เทรนด์ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ไม่ว่ากลยุทธ์ใดก็มีโอกาสที่จะล้มเหลวได้ กลยุทธ์ CTA ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน อีกทั้งในบางสถานการณ์ยังอาจทำให้ขาดทุนมหาศาลได้ เช่น กลยุทธ์ MACD ที่เหมาะกับการติดตามเทรนด์นั้นก็อาจให้ผลตอบแทนได้น้อยกว่าในตลาดที่แกว่งตัวในกรอบ ในทางกลับกัน กลยุทธ์ BOLL ก็จะล้มเหลวได้เช่นกันในตลาดที่วิ่งทางเดียว โดยสรุปแล้ว บอทเทรดใดๆ ก็มีข้อดีข้อเสียของตนเอง คุณจึงต้องเข้าใจกลยุทธ์และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยตัวเองให้ถ่องแท้เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องได้ด้วยตนเองก่อนเริ่มทำการเทรด

ข้อสงวนสิทธิ์

การเทรดด้วยบอท CTA เป็นเครื่องมือการทำธุรกรรมประเภทหนึ่ง ข้อมูลข้างต้นไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุนจาก Bitget ผลตอบแทนจากการเทรดด้วยบอท CTA อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาคริปโทเคอร์เรนซี ทั้งนี้ คุณสามารถปรับบอท CTA ของคุณตามสภาวะตลาดได้ การที่คุณใช้งานเครื่องมือนี้จะอยู่ภายใต้การที่คุณยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขทั้งหมดของ Bitget โดยไม่มีเงื่อนไข คุณควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง การลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง คุณตกลงว่าการลงทุนทั้งหมดบน Bitget.com สะท้อนถึงความตั้งใจในการลงทุนที่แท้จริงของคุณ และคุณยอมรับความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจลงทุนของคุณโดยไม่มีเงื่อนไข